วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การคุ้มครองผู้บริโภคด้านโทรคมนาคมมในยุค 3 และ 4 G


          

 นางสาวเดือนเด่น นิคมบริรักษ์ อนุกรรมการคุ้มครองผุ้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า

                 1. แนวทางในการคุ้มครองผู้บริโภคของหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมทั่วไปมี 2 แนวทาง คือ การส่งเสริมการแข่งขันในตลาด และ การกำกับดูแลคุณภาพและอัตราค่าบริการในกรณีที่ตลาดไม่มีการแข่งขันเท่าที่ควร   ที่ผ่านมา กสทช. ได้ละเลยมาตรการในการส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโดยสิ้นเชิงทำให้ตลาดโทรคมนาคมไทยเป็นตลาดที่มีการแข่งขันที่จำกัด เช่น ในกรณีของโทรศัพท์มือถือ ก็มีเพียงสามรายเป็นต้น การประมูล 3G ที่ผ่านมา ก็ไม่มีรายใหม่เข้ามาแต่อย่างใด
      2. การที่จะช่วยส่งเสริมการแข่ขันได้แก่ มาตรการในการกำหนดอัตราค่าเชื่อมต่อ (IC Charge) ที่สอดคล้องกับต้นทุน มาตรการในการส่งเสริมการเชื่อมต่อโครงข่าย (interconnection) การเช่าใช้โครงข่าย (infrastructure sharing) การทำโรมมิ่ง (roaming)    ตลอดจนมาตรการในการส่งเสริมผู้ให้บริการที่ไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง MVNO  แต่ประกาศเหล่านี้ ซึ่งควรที่จะออกมา ก่อนที่จะมีการประมูล 3G กลับถูกละเลยจวบจนกระทั่งในปัจจุบัน  การขาดกฎ กติกาเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่ไม่มีโครงข่ายอยู่เดิมสามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเก่าได้เลย  เพราะจะไม่สามารถติดตั้งโครงข่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ได้ตามข้อกำหนดในการประมูลได้เลย
        3. เมื่อตลาดไม่มีการแข่งขันเท่าที่ควร ผู้บริโภคจึงต้องรับภาระอัตราค่าบริการที่สูงเกินควร  เช่น ภาระในการจ่ายค่าเชื่อมต่อโครงข่ายที่สูงถึง 1 บาทต่อนาทีในกรณีที่โทรนอกโครงข่าย  และ เงื่อนไขในการใช้บริการที่ไม่เป็นธรรม เช่น การกำหนดอายุ SIM ตามอำเภอใจ และการยึดเงินที่เหลือในบัตร ฯลฯ ที่ผ่านมา กสทช. ก็ม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้แต่อย่างใด  ล่าสุดที่มาการประกาศอัตราค่าบริการสูงสุดเฉลี่ย 99 สตางค์ต่อนาทีก็เช่นกัน ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด  ผู้ประกอบการยังมีการกำหนดอัตราค่าบริการที่เกิดอัตราเพดานดังกล่าวแม้กฎ ระเบียบดังกล่าวได้เริ่มใช้แล้วสำหรับทุก package ตั้งแต่เดือน มกราคม 2556
         4. อนึ่ง  การกำหนดราคาขายปลีกที่นาทีละไม่เกิน 99 สตางต์ ซึ่งเป็นอัตราที่ ต่ำกว่าอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่ายที่นาทีละ 1 บาทเป็นการส่งเสริมการผูกขาดในตลาดโทรคมนาคมไทยอย่างชัดเจน  เนื่องจากผู้ประกอบการที่มีโครงข่ายเป็นของตนเอง 3 รายเท่านั้นที่จะสามารถอยู่รอดได้ เพราะ MVNO และรายใหม่ที่อาจเข้ามาในตลาดที่ยังมีไม่มีโครงข่ายเป็นของตนเองต้องเสียค่าเชื่อมต่อที่สูงกว่าราคาที่สามารถเรียกเก็บจากผู้บริโภคจึงไม่สามารถอยู่รอดในเชิงพาณิชย์ได้
        5. ดังนั้น  เพื่อให้การกำหนดอัตราค่าบริการที่อัตราเพดานจะเกิดขึ้นได้จริง กสทช. จะต้องดำเนินการการลดค่า IC อย่างเร่งด่วน  เช่น  เมื่อต้นปี พ.ศ. 2552 DTAC มีโปรโมชั่น ซิมรับสาย รับทรัพย์โดยลูกค้า DTAC จะได้รับค่าโทรฟรีนาทีละ 50 สตางค์จากการรับสายจากเบอร์นอกเครือข่าย (เฉพาะจาก AIS DPC และ True Move ที่มีค่าเชื่อมต่อนาทีละ 1 บาท)  โดยกำหนดให้เลขหมายแต่ละเลขหมายสามารถรับเงินสูงสุดได้  2,000 บาทต่อเดือน   ทำให้มีผู้ใช้บริการที่ฉลาดบางรายสมัครโปรโมชั่นโทรไม่จำกัดจาก AIS เพื่อโทรเข้าเบอร์ของตนเองที่ DTAC เพื่อที่จะได้รับเงิน 50 สตางค์ทุกครั้งที่มีการโทรเข้าจากเครือข่าย AIS มายังเครือข่าย DTAC  ที่สมัครโปรโมชั่นดังกล่าวไว้จำนวนหลายเบอร์ทำให้สามารถสร้างรายได้เดือนละหลายพันบาท  ในขณะที่ผู้ให้บริการต้นทาง (คือ AIS) ต้องเสียค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (ที่สูงเกินควร) ให้แก่ DTAC เป็นวงเงินนับหมื่นกว่าบาทต่อเดือนตามจำนวนนาทีที่โทรออก  การที่ DTAC ออกโปรโมชั่นดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าอัตราค่าเชื่อมต่อที่แม้จริงต่ำกว่า 50 สตางค์  เพราะแม้จะแบ่งรายได้ค่าเชื่อมต่อให้แก่ลูกค้าของตนเองครึ่งหนึ่ง คือ 50 สตางค์แล้ว  ก็ยังมีกำไร  ดังนั้น การที่ กสทช. จะกำหนดอัตราค่าเชื่อมต่อที่ 45 สตางค์นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ดีและควรเร่งคับใช้อย่างเร่งด่วน  แต่ควรชี้แจงว่าเหตุใดไม่ใช่ 25 สตางค์ที่ปรึกษาของ กสทช. เคยเสนอแนะในอดีต และที่ อ. สมเกียรติเคยศึกษามาที่ 27 สตางต์ จะต้องมีการชี้แจงที่มาที่ไปที่ชัดเจน
         6. คณะอนุกรรมการฯ เห็นว่า  กสทช. ควรส่งเสริมให้มีการแข่งขันในตลาดเพื่อให้ผู้บริการขวนขวายในการให้บริการที่ดีและหลากหลายแก่ผู้บริโภคแทนการกำหนดมาตรการในการกำกับดูแลที่ไร้ประสิทธิผลดังที่ผ่านมา  โดยการลดค่า IC ให้ต่ำกว่าเดิม และการออกประกาศทั้ง 3 ฉบับ คือ ประกาศว่าด้วยการเช่าใช้โครงข่าย (infrastructure sharing) การทำโรมมิ่ง และ การประกอบธุรกิจของ MVNO อย่างเร่งด่วน  เพื่อที่จะลดอำนาผูกขาดของผู้ประกอบการในปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น